เมล็ดเจีย หรือ เมล็ดเชีย Super Seed ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวช่วยชั้นเลิศในการลดน้ำหนักของสาวๆ โดยไม่ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารใดๆ แต่กลับได้สุขภาพที่ดีเป็นของแถมอีกด้วย สมัยก่อนยังไม่เป็นที่นิยม แต่ในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้โดยง่าย ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป
ประโยชน์ของเมล็ดเจีย
ธัญพืชที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์ กรดไขมันดีชนิดโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 แคลเซียม สารต้านอนุมูลอิสระ และโปรตีน เมื่อรับประทานจะรู้สึกอิ่มง่าย อิ่มนานขึ้น และช่วยให้ระบบเผลาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น จึงเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักได้อย่างดี และให้พลังงานเพียง 137 แคลอรี ต่อเมล็ดเจียเพียง 1 ออนซ์ (28 กรัม)
นอกจากนั้นยังเป็นธัญพืชที่ช่วยให้หัวใจแข็งแรง เพราะมีกรดไขมันดีอยู่นั่นเอง จึงสามารถช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ทั้งเรื่องของความดันโลหิต และรักษาสมดุลระดับน้ำตาล ให้อยู่ในระดับปกติ ส่งผลให้สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย
วิธีรับประทานเมล็ดเจีย
สามารถรับประทานเมล็ดเจียควบคู่กับอาหารประเภทต่างๆ ได้ทุกวัน เพียงแต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
- เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ควรบริโภค วันละประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
- เด็กที่อายุตั้งแต่ 5-18 ปี ควรบริโภค วันละประมาณ 4-4.3 กรัม
- วัยผู้ใหญ่ ควรบริโภควันละประมาณ 15 กรัม หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน
- ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรบริโภคแบบป่นประมาณ 33-41 กรัมทุก ๆ 3 เดือน
เมนูเมล็ดเจียแสนง่าย
- นำผลไม้ตามชอบ ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นพอคำ
- บรรจุลงขวดให้เต็ม เติมน้ำแร่ธรรมชาติ น้ำผึ้ง และมะนาวลงไป ตามด้วยเมล็ดเจีย
- ปิดฝาแช่เย็นทิ้งไว้ข้ามคืน
เกร็ดความรู้
- หลายคนเข้าใจผิดว่า “เมล็ดเจีย” คือ “เมล็ดแมงลัก”
- ผู้ที่รับประทานเมล็ดเจีย ขณะที่ยังไม่พองตัวเต็มที่ อาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืด หรือท้องผูก เนื่องจากไปอุดตันลำไส้
- เมล็ดเจียสามารถพองตัวเต็มที่ได้มากถึง 12 เท่าเมื่อเทียบกับขนาดปกติ
- ผู้ป่วยที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัด ไม่ควรรับประทานเมล็ดเจีย เนื่องจากจะทำให้หลอดเลือดบางลง หรืออาจเกิดภาวะเลือดแข็งตัวช้า และไหลไม่หยุดได้
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำ ไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย อาจจะทำให้เกิดการช็อก หรือหมดสติได้
- คุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นม ไม่ควรบริโภคเมล็ดเจีย เพราะมีผลต่อสารอาหารในน้ำนมให้เปลี่ยนไป
การกินเมล็ดเจียร่วมกับอาหารเสริมที่มีวิตามินบี 17 เป็นระยะเวลานาน จะทำให้ร่างกายมีการสะสมสารไฟโตนิวเทรียนท์ในปริมาณมากกว่าปกติ จนอาจกลายเป็นสารพิษที่นำมาซึ่งโรคมะเร็งในที่สุด จึงไม่ควรรับประทานเป็นเวลานานจนเกินไป