อาหารยอดฮิตในทุกเพศ ทุกวัย รับประทานกันตั้งแต่เด็ก ไปถึงวัยชรา ทานคู่กับข้าวสวยก็อร่อย หรือข้าวต้มก็อร่อยไม่แพ้กัน จนต้องมีติดบ้านไว้ตลอดเวลา เก็บได้นาน เพราะผ่านถนอมอาหารมาอย่างดี
ประโยชน์ของหมูหยอง
บางตำรา มีการกล่าวไว้ว่า หมูหยอง ไม่มีประโยชน์ และไม่ให้คุณค่าใด ๆ ต่อร่างกาย ทั้ง ๆ ที่ทำมาจากเนื้อหมูแท้ แต่ทำไมจึงมีการกล่าวไว้แบบนี้ เรามาไขข้อข้องใจกันดีกว่า ในเนื้อหมูหยองนั้น จะประกอบไปด้วยสารอาหาร (โดยประมาณ) คือ คาร์โบไฮเดรต 35% โปรตีน 45% ไขมัน 5% น้ำ 10% และอื่นๆ อีก 5% เหมือนจะไม่อ้วน แต่ให้พลังงานถึง 357 kcal ต่อ 100 กรัม ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปริมาณที่รับประทานเข้าไป
วิธีทำ
- น้ำเนื้อหมูมาหั่นทางยาว และจิ้มด้วยมีดปลายแหลม หรือส้อมให้ทั่ว
- เทน้ำเปล่าให้ท่วมชิ้นหมู ใส่เครื่องพะโล้ทุบละเอียด น้ำตาล และซอสปรุงรสต่างๆ หมักทิ้งไว้ 1 ชม.
- หมักเสร็จแล้ว นำหมูไปต้มกับน้ำปรุงรสต่อ จนกว่าหมูจะนุ่ม (อย่าให้เละ) ตักขึ้น พักให้เย็น
- เมื่อเย็นแล้ว นำเนื้อหมูมายีเป็นเส้น ๆ นำไปอบ หรือตากแดด จนเกือบจะแห้ง
- นำมายีต่ออีกครั้งให้ฟู
- นำหมูที่ยีจนฟูแล้วไปผัดในกระทะ ใช้ไฟอ่อน จนสีเหลืองสวย
- ตักขึ้น พักให้เย็น แล้วบรรจุลงภาชนะมีฝาปิด
โทษของหมูหยอง
อาหารทุกประเภท มีทั้งข้อดี และข้อเสีย ดังนั้นจึงควรเลือก และรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม หมูหยองก็เช่นกัน ถึงจะผ่านกรรมวิธีการผลิตมากมายหลายขั้นตอนก็ตาม แต่ก็ยังมีโทษหากรับประทานมาก หรือติดต่อกันนานจนเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ไม่ควรรับประทานเป็นประจำ เนื่องจากมีน้ำตาลปริมาณค่อนข้างสูง
ในอดีต มีการตรวจพบว่า บางร้านใช้ดินประสิว เพื่อช่วยให้หมูหยอง มีความกรอบ อร่อยมากขึ้น ร่างกายก็จะได้รับโทษจากปรุงแต่งนั้นด้วยเช่นเดียวกัน แต่ก็เป็นที่น่าภูมิใจ ที่สถิติการตรวจหาสารดังกล่าวในปัจจุบันนั้นน้อยลงมาก เราจึงสามารถรับประทานได้อย่างสบายใจ
เกร็ดความรู้
- หมูหยองที่ดีควรใช้เนื้อหมูส่วนสะโพก เพราะมีมันค่อนข้างน้อย แต่มีกากใยอาหารค่อนข้างสูง
- หากร่างกายได้รับดินประสิวในปริมาณสูง หรือสะสมไว้นานอาจส่งผลให้มีอาการ หายใจไม่ออก ปวดท้อง และอาจหมดสติได้เลย
ก่อนรับประทานทุกครั้ง ควรตรวจหาความผิดปกติในหมูหยองเสียก่อน เนื่องจาก เรามักเก็บไว้ในที่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง อาจจจะทำให้มีความชื้น และเกิดเชื้อราได้