สิว คือศัตรูตัวร้ายของผิวพรรณที่ใครๆก็ต่างไม่ต้องการ จึงทำให้ผู้หญิงหรือสาวๆหลายท่านต้องตามหาวิธีการรักษาสิวที่สามารถใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครีม
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ยารักษาสิว หรือสมุนไพรต่างๆ แต่วิธีการหนึ่งสำหรับสาวๆที่มักจะได้ยินต่อกันมานั่นก็คือการกินยาคุมรักษาสิวนั่นเอง
ทำความรู้จักกับยาคุมให้มากขึ้น
ยาคุมกำเนิด หรือที่เราเรียกกันติดปากว่ายาคุมนั้นผลิตมาจากส่วนผสมหลักของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโพเกสเทอโลน (Progesterone) โดยฮอร์โมนทั้ง 2 ตัวนี้ทำหน้าที่ในการสร้างฮอรืโมนให้กับสาวๆนั่นเอง เมื่อมดลูกมีการเจริญเติบโตพร้อมจะทำให้ภายในรังไข่สามารถรับการฝังตัวจนตั้งครรภ์ได้
แต่ฮอร์โมนในยาคุมนั้นจะส่งผลให้ไม่มีไข่สุก และมูกที่บริเวณปากมดลูกจะเหนียวมากขึ้น จนทำให้อสุจิไม่สามารถผ่านได้หรือผ่านได้ยากนั่นเอง รวมไปถึงเยื่อบุโพรงมดลูกไม่พร้อมปฏิสนธิจึงทำให้ไม่เกิดตั้งครรภ์ได้นั่นเอง
ยาคุมสามารถรักษาสิวได้จริงหรือไม่
เชื่อว่ามีสาวๆหลายคนน่าจะเคยได้ยินว่ายาคุมนั้นสามารถรักษาสิวได้ ซึ่งจากงานวิจัยหลายตัวทำให้พบว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่อยู่ในยาคุมนั้นจะช่วยปรับฮอร์โมนของผู้หญิงให้มากขึ้น ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง เรียบเนียน หน้าไม่มัน และยังลดอาการระคายเคืองของต่อมไขมันอีกด้วย
สำหรับสาวๆที่สนใจอยากจะหายาคุมเพื่อใช้ทานรักษาสิวนั้น ควรเลือกยาคุมชนิดฮอร์ดมนรวม เพราะยาคุมแบบปกติจะมีแต่ฮอร์โมนโพเกสเทอโลน (Progesterone) เท่านั้น ซึ่งไม่ได้มีส่วนช่วยในการรักษาสิวหรือป้องกันสิวแต่อย่างใด ปัจจุบันยาคุมมีให้เลือกหลายราคาซึ่งเริ่มต้นที่ 300 – 400 บาท
รับประทานยาคุมติดต่อกันมากๆมีโทษหรือไม่
แม้ว่ายาคุมจะมีประโยชน์ในเรื่องของการคุมกำเนิดและรักษาสิวได้ แต่การรับประทานยาคุมติดต่อกันนานๆอาจจะเกิดโทษต่อสุขภาพของสาวๆได้ เพราะจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และทำให้เกิดฝ้ากระ ฉะนั้นหากเป็นไปได้ทุกๆ 2 – 3 ปี ควรจะหยุดกินยาคุมบ้าง เพื่อลดความเสี่ยนงในการเกิดอาการแทรกซ้อนข้างต้น
นอกจากการใช้ยาคุมเพื่อรักษาสิวแล้วสาวๆควรดูแลความสะอาดของผิวหน้าให้ถูกต้อง ออกกำลังกาย รับประทานผักผลไม้มากๆ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่วัน เชื่อได้เลยว่าอาการสิวต่างๆของคุณจะลดน้อยลงอย่างแน่นอน