เห็ดหูหนู ทานคู่กับอาหารคลีน อย่างไรดี พร้อมตัวอย่างเมนูอาหารคลีน แสนกลมกล่อม

ได้ขึ้นชื่อว่าสุดยอดของเห็ด คงจะไม่มีใครไม่รู้จักเห็ดหูหนู มีขายอย่างแพร่หลายตั้งแต่ตลาดสด ไปถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำ สามารถนำมาประกอบเมนูอาหารต่างๆ และมีขั้นตอนในการทำไม่ยุ่งยากเลยจริงๆ ซึ่งการรับประทานเห็ดนั้นในตำราจีนบางเล่มยังมีระบุไว้อีกด้วยว่าเป็นอาหารที่ช่วยต่อต้าน และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างดี

เห็ดหูหนู ประโยชน์

ประโยชน์ที่เด่นชัดของเห็ดหูหนู

  • มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย ลดอาการอ่อนเพลียได้ เนื่องจากมีสารอาหารที่สามารถเข้าไปซ่อมแซมร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จึงรู้สึกหายจากอาการอ่อนเพลีย
  • เป็นส่วนผสมสำคัญในตำรายาจีน ที่ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ที่ช่วยบำรุงเลือดอีกด้วย
  • สามารถบรรเทาอาการเลือดกำเดาไหลได้
  • เหมาะกับผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจ เนื่องจากสามารถลดปริมาณการเกาะตัวของเกล็ดเลือด และสามารถลดไขมันในเลือดได้ ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

สามารถใช้ในเพื่อลดความเสี่ยงในการตกเลือด เนื่องจากมีฤทธิ์ที่สามารถช่วยห้ามเลือดได้ดีนั่นเอง

เห็ดหูหนู

ตัวอย่างเมนูอาหารคลีนจากเห็ดหูหนู : ลาบเห็ด

  1. นำเห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ และเห็ดอื่นๆตามชอบ ล้างเอาดินออกให้หมด แล้วนำไปลวกในน้ำเดือด
  2. พักเห็ดที่ลวกแล้ว ให้สะเด็ดน้ำจนแห้ง
  3. เตรียมชามผสมทำน้ำลาบ เติมซอสปรุงรสนิดหน่อย น้ำมะนาว น้ำตาลทรายแดง คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย
  4. นำเห็ดที่พักไว้ลงในชามผสม เติมข้าวคั่วเพิ่มความหอม แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน
  5. ใส่ผักชีฝรั่ง และหอมแดงหั่นเป็นแว่นๆ คลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง จัดใส่จานให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ จะรับประทานคู่กับผักสดอื่นๆ ก็ได้

เกร็ดความรู้

  • เห็ดหูหนูขาว ได้ชื่อว่า เป็นสุดยอดของเห็ด เนื่องจากว่าสามารถบรรเทาอาการวัณโรค ที่เป็นโรคระบาดในอดีตได้
  • ในการทำอาหารนั้น ไม่ควรลวกเห็ดหูหนูนานจนเกินไป เนื่องจากจะทำให้เละ ไม่น่ารับประทาน และทำให้สารอาหารถูกความร้อนทำลายไปด้วย
  • ถึงจะเป็นเห็ดสายพันธุ์เดียวกัน แต่มีสรรพคุณไม่เหมือนกัน เช่น เห็ดหูหนูขาว ช่วยรักษาเลือดกำเดาไหล ในขณะที่เห็ดหูหนูดำ ช่วยรักษาริดสีดวงทวารได้ เป็นต้น
  • สำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ให้นำเห็ดหูหนูมาต้ม รับประทานเป็นต้มจืด หรือจะรับประทานเฉพาะน้ำซุปก็ได้

ไม่ควรทานเห็ดหูหนูในมื้อเย็นเป็นจำนวนมากเกินไป แต่ควรรับประทานในช่วงเวลากลางวันมากกว่า เพราะเป็นอาหารที่ทำให้เกิดความชุ่มชื้น และมีฤทธิ์ค่อนข้างเย็น จึงอาจส่งผลให้ไม่สบายตัวได้